เตี่ยนฉา (點茶): ศิลปะการชงชาที่เป็นรากฐานของมัทฉะ

เตี่ยนฉา (點茶): ศิลปะการชงชาที่เป็นรากฐานของมัทฉะ

เมื่อพูดถึง "มัทฉะ" หลายคนอาจนึกถึงพิธีชงชาแบบญี่ปุ่นที่เรียกว่า “ชาโนยุ” หรือ “ซะโด” (茶道) แต่รู้หรือไม่ว่า ต้นกำเนิดของการชงมัทฉะแบบตีฟอง (Whisking Matcha) นั้น แท้จริงแล้วมีรากฐานมาจากจีน? ซึ่งก็คือ "เตี่ยนฉา" (點茶) ศิลปะการชงชาโบราณของราชวงศ์ซ่งที่ครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรืองและมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมชาของญี่ปุ่น

 

เตี่ยนฉา คืออะไร?

A group of men in traditional clothing

AI-generated content may be incorrect.

เตี่ยนฉา (點茶) เป็น วิธีชงชาแบบตีฟอง โดยนำใบชาแห้งที่ถูกอัดเป็นแผ่นหรือก้อนแข็งมาบดด้วยครก โกร่ง และโม่หินจนเป็นผงละเอียด ผสมกับน้ำร้อน แล้วใช้แปรงไม้ไผ่ตีให้เกิดฟองละเอียดเนียนนุ่ม คล้ายกับการชงมัทฉะในปัจจุบัน วิธีนี้เป็นที่นิยมมากใน สมัยราชวงศ์ซ่ง (宋朝, ค.ศ. 960–1279) โดยเป็นที่โปรดปรานของทั้งจักรพรรดิ ชนชั้นสูง และเหล่าบัณฑิตที่มีการศึกษา

 

ยุคสมัยของเตี่ยนฉา

ก่อนหน้าราชวงศ์ซ่ง ชาจีนมักถูกต้มในน้ำเดือด ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมในสมัยราชวงศ์ถัง แต่เมื่อเข้าสู่ยุคซ่ง วิธีการดื่มชาเริ่มเปลี่ยนไป โดย แทนที่จะต้มชาแบบเดิม ชาจะถูกแปรรูปเป็นก้อนชาอบแห้ง นำมาบดเป็นผง แล้วนำไปตีฟอง ซึ่งทำให้รสชาติของชานุ่มนวลและหอมละมุนยิ่งขึ้น

หนึ่งในบุคคลสำคัญที่ช่วยเผยแพร่วิธีชงชาแบบเตี่ยนฉาคือ "จ้าวจี๋" หรือ “ซ่งฮุยจง” (赵佶, Emperor Huizong of Song dynasty) จักรพรรดิผู้หลงใหลในศิลปะชา และเป็นผู้เขียนตำรา "ต้ากวานฉาลุ่น" (大觀茶論) ซึ่งว่าด้วยศิลปะชาในราชวงศ์ซ่ง

 

จากเตี่ยนฉาสู่มัทฉะ: สะพานเชื่อมวัฒนธรรมจีน-ญี่ปุ่น

พิธีชงชาเตี่ยนฉาของจีนได้รับการสืบทอดไปยังญี่ปุ่นผ่านการเผยแพร่พระพุทธศาสนานิกายเซน พระภิกษุชาวญี่ปุ่นหลายรูปได้นำทั้งเมล็ดพันธุ์ชา ความรู้ในการปลูกและผลิตใบชาแห้ง วิธีการชงชาเตี่ยนฉา อุปกรณ์ชงชา คือถ้วยเจี้ยนจ่านหรือเทียนมู่ (เทนโมกุ) แปรงตีชา รวมทั้งคตินิยมในการดื่มชาติดตัวกลับไปยังเกาะญี่ปุ่นด้วย โดยเฉพาะท่าน “เอไซ” ซึ่งนับเป็นบุคคลที่มีคุณูปการสูงสุดต่อวงการชาญี่ปุ่น

อย่างไรก็ตาม เมื่อวัฒนธรรมชาของซ่งได้ลงรากลึกบนแผ่นดินญี่ปุ่นแล้ว รูปแบบของเตี่ยนฉาก็ค่อยๆ กลืนกลายไปทีละน้อยเฉกเช่นเดียวกับต้นชาที่เติบโตขึ้นบนภูมิประเทศแห่งใหม่ จนในที่สุดวัฒนธรรมชาของญี่ปุ่นก็ได้แยกตัวออกมาจากเตี่ยนฉาโดยสมบูรณ์ในช่วงศตวรรษที่ 16 ซึ่งบุคคลสำคัญที่ได้วางรากฐานให้กับพิธีชงชามัทฉะของญี่ปุ่น (ชาโนยุ - 茶の湯) จนมีเอกลักษณ์โดดเด่นก็คือท่าน เซน โนะ ริคิว

 

ทำไมเตี่ยนฉาถึงหายไปจากจีน?

หลังจากราชวงศ์ซ่งล่มสลายจากการรุกรานของมองโกล วัฒนธรรมการชงชาแบบเตี่ยนฉาซึ่งนับเป็นหนึ่งในค่านิยมของชนชั้นสูงก็เสื่อมความนิยมลงและถึงกับสูญหายไปในที่สุด

ต่อมาในสมัยราชวงศ์หมิง (明朝, ค.ศ. 1368–1644) “จูหยวนจาง” หรือ “หมิงไท่จู่” ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิงผู้สถาปนาตนเองขึ้นมาจากชนชั้นสามัญชน ได้ส่งเสริมให้เปลี่ยนวิธีการชงชาจาก "ชาผง" (เตี่ยนฉา ซึ่งมีพิธีรีตองแบบชนชั้นสูง) มาเป็น "ชาใบ" ที่เรียบง่ายกว่าแทน ซึ่งต่อมาได้มีการพัฒนารูปแบบจนกลายมาเป็นการชงชาแบบใช้ฝีมือ หรือที่เรียกว่า "กงฟูฉา" (工夫茶) ที่แพร่หลายในปัจจุบัน

ในขณะที่จีนละทิ้งการตีฟองชาไปแล้ว ญี่ปุ่นกลับรับเอาวัฒนธรรมนี้ไปพัฒนาต่อเนื่องจนกลายเป็นพิธีชงชาที่เราเห็นกันในปัจจุบัน ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่ามัทฉะที่เราดื่มกันในทุกวันนี้ ก็คือ "ทายาท" ของเตี่ยนฉานั่นเอง

 

เตี่ยนฉาในยุคปัจจุบัน

แม้ว่าจะเลือนหายไปจากจีนเป็นเวลาหลายร้อยปี แต่ในปัจจุบัน มีความพยายามฟื้นฟูเตี่ยนฉาขึ้นมาใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มนักเลงชาที่สนใจวัฒนธรรมชาโบราณ ร้านชาหลายแห่งในจีนเริ่มนำเสนอเตี่ยนฉาในเมนูของตนเอง รวมทั้งใช้ผงชาที่ทำขึ้นใหม่เพื่อเลียนแบบรสชาติโบราณ นอกจากนั้น บรรดาสื่อช่องทางต่างๆ ก็เริ่มนำเสนอเรื่องราวของเตี่ยนฉามากขึ้นด้วย

และคงปฏิเสธไม่ได้ว่า การรื้อฟื้นวัฒนธรรมโบราณของตนเองที่สาบสูญไปหลายร้อยปีขึ้นมาใหม่ในครั้งนี้ของจีน ย่อมได้รับอิทธิพลจากกระแสความนิยมในชาเขียวมัทฉะของญี่ปุ่นที่นับวันมีแต่จะยิ่งทรงพลังมากขึ้นเรื่อยๆ

 

สรุป

เตี่ยนฉาคือรากฐานของมัทฉะ เป็นศิลปะชงชาที่เคยรุ่งเรืองในราชวงศ์ซ่ง แม้จะสูญหายไปจากจีน แต่ก็ได้กลายเป็นมรดกที่ญี่ปุ่นสืบทอดและพัฒนาจนกลายมาเป็นชาเขียวมัทฉะเช่นในปัจจุบัน จึงอาจกล่าวได้ว่า “เตี่ยนฉาเป็นวิธีการชงชาแบบโบราณที่ทันสมัยที่สุด” การเรียนรู้เตี่ยนฉา ไม่เพียงแต่ทำให้เราเข้าใจประวัติศาสตร์ของชา แต่ยังช่วยให้เราเห็นถึงความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมระหว่างจีนและญี่ปุ่นในแง่มุมที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และไม่ว่าคุณจะชื่นชอบมัทฉะของญี่ปุ่น หรือสนใจวัฒนธรรมชาของจีน เตี่ยนฉาก็ถือเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความงดงามของชาและวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกันข้ามกาลเวลา

 

หากมีโอกาส คุณอยากลองชิมเตี่ยนฉาแบบโบราณดูสักครั้งไหม?

กิจกรรมเพิ่มเติม