เปิดต้นกำเนิดมัทฉะ สู่พัฒนาการจนกลายเป็นเครื่องดื่มระดับโลก
เปิดต้นกำเนิดมัทฉะ สู่พัฒนาการจนกลายเป็นเครื่องดื่มระดับโลก
มัทฉะ: จากชาโบราณสู่เครื่องดื่มระดับโลก
มัทฉะ (Matcha) ไม่ใช่แค่ชาเขียวธรรมดา แต่เป็นศิลปะและวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมายาวนานจากญี่ปุ่น กว่าจะกลายมาเป็นผงชาสีเขียวสดใสที่รู้จักกันโดยทั่วไป มัทฉะมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นมาตั้งแต่ยุคโบราณ
ต้นกำเนิดของมัทฉะ
แม้มัทฉะจะเป็นสัญลักษณ์ของญี่ปุ่น แต่แท้จริงแล้ว จุดกำเนิดของมัทฉะรวมทั้งชาเขียวทั้งหมดของญี่ปุ่นนั้นมาจากประเทศจีน โดยพระญี่ปุ่น 2 รูปแรกนามว่า "คูไก” และ “ไซโช" ซึ่งได้นำพันธุ์ชาและวัฒนธรรมการดื่มชากลับมายังญี่ปุ่นในช่วงต้นศตวรรษที่ 9 แต่ทว่าความนิยมก็ได้เสื่อมลงไป จนกระทั่งพระภิกษุชาวอาทิตย์อุทัยอีกรูปหนึ่งนามว่า “เอไซ” ผู้นำชาพร้อมวัฒนธรรมชาจากจีนมายังญี่ปุ่นอีกครั้งในช่วงปลายศตวรรษที่ 12 เมล็ดพันธุ์ชาที่ท่านนำกลับมาปลูกกลายเป็นต้นสายพันธุ์ชาที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น วิธีการเตรียมชาแบบนิกายเซนจีนที่นำกลับมาเผยแพร่ด้วยก็กลายเป็นต้นเค้าของพิธีชงชามัทฉะแบบญี่ปุ่นที่ได้รับการพัฒนารูปแบบต่อมาอีกหลายร้อยปีจนปัจจุบัน
อุจิ (Uji) เมืองหลวงแห่งมัทฉะ
หลังจากท่านเอไซได้นำเมล็ดชากลับมา ช่วงแรกชาถูกปลูกที่บริเวณแถบตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงเกียวโตก่อน แต่ภายหลังพบว่าต้นชาต้องการสภาพอากาศที่เหมาะสมมากกว่านั้น จึงมีการย้ายชามาปลูกในแถบริมฝั่งแม่น้ำอุจิทางตอนใต้ของเมืองเกียวโตซึ่งมีหมอกปกคลุมตลอด ชาอุจิฉะที่ขึ้นชื่อว่าเป็นชาเขียวที่ดีที่สุดของญี่ปุ่นจึงถือกำเนิดขึ้นมานับตั้งแต่บัดนั้น
การพัฒนาวิธีการปลูกชา
วิธีการเพาะปลูกชาก็ได้รับการพัฒนาในอุจิเช่นกัน มีการค้นพบเทคนิคในการปรับปรุงรสชาติของใบชาด้วยการคลุมยอดอ่อน หรือการพรางแสงก่อนเก็บยอดอ่อนของใบชา วิธีนี้ช่วยเพิ่มปริมาณกรดอะมิโนและสารอาหารที่มีประโยชน์ในใบชาให้มากขึ้น รวมทั้งลดรสขมลงได้ด้วย มัทฉะจึงมีกลิ่นรสที่หอมอร่อย เข้มข้น และมอบประโยชน์สูงสุด
ศิลปะแห่งพิธีชงชา
ในด้านพิธีชงชามัทฉะก็ได้รับการพัฒนาเรื่อยมา จนกระทั่งช่วงศตวรรษที่ 16 พิธีชงชาที่เป็นแบบแผนสมบูรณ์ที่สืบทอดมาจนปัจจุบันก็ถือกำเนิดขึ้น โดย “เซน โนะ ริคิว” ท่านเป็นบุคคลสำคัญที่ปฏิวัติพิธีชงชาที่เรียกว่า “ชาโนยุ” โดยท่านได้พัฒนาหลักปรัชญา “วาบิซาบิ” ขึ้นมา ซึ่งวาบิซาบิเป็นปรัชญาที่เน้นความเรียบง่าย ความสงบ และความงามของสิ่งที่ไม่สมบูรณ์
ท่านริคิวได้วางรากฐานให้กับ “ฉะโด” หรือ “ซะโด” (Chado/Sado) ซึ่งหมายถึง "วิถีแห่งชา" โดยเปลี่ยนแนวทางพิธีชงชาให้เรียบง่ายและสมถะมากขึ้น จากเดิมที่นิยมใช้ภาชนะหรูหรา มาเป็นการใช้เครื่องปั้นดินเผาธรรมดา หรือเครื่องปั้นดินเผาที่มีตำหนิบ้าง ที่บิดเบี้ยวจากการผลิตบ้าง และห้องชาขนาดเล็กที่ให้ความรู้สึกสงบมากกว่าสถานที่อันหรูหรา
แนวคิดของท่านริคิวมีอิทธิพลต่อพิธีชงชาญี่ปุ่นมาจนถึงปัจจุบัน โดยเน้นสี่หลักสำคัญ ได้แก่
วา (和 - Wa) ความกลมเกลียว
เค (敬 - Kei) ความเคารพ
เซย์ (清 - Sei) ความสะอาดบริสุทธิ์
จาคุ (寂 - Jaku) ความสงบภายใน
มัทฉะ: จากพิธีชงชา สู่ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่
เดิมทีมัทฉะเป็นเครื่องดื่มสำคัญในพิธีชงชา ซึ่งเป็นศิลปะที่ฝึกสมาธิและแสดงถึงมารยาทอันงดงามของชาวญี่ปุ่น แต่ปัจจุบัน มัทฉะกลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น มัทฉะลาเต้, มัทฉะสมูทตี้, ไปจนถึงขนมรสมัทฉะนานาชนิด ที่นำรสอูมามิรวมทั้งรสขมอ่อนๆ ตลอดจนกลิ่นหอมอันสดชื่นของชาเขียวมัทฉะ มาผสมผสานกับรสชาติของวัตถุดิบอื่น เช่น นม ครีม ชีส น้ำตาล แป้งต่างๆ ได้อย่างลงตัว
สรุป
มัทฉะไม่ใช่แค่ชา แต่เป็นวัฒนธรรมที่สะท้อนถึงความพิถีพิถันของชาวญี่ปุ่น หากใครได้ลองมัทฉะแท้ๆ จากแหล่งปลูกมัทฉะขึ้นชื่อของญี่ปุ่น ก็จะสัมผัสได้ถึงความแตกต่างและความล้ำลึกที่ไม่ใช่แค่รสชาติ แต่รวมถึงจิตวิญญาณของชาที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี มัทฉะจึงไม่ใช่เพียงแค่เครื่องดื่มธรรมดา แต่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่สืบทอดมายาวนาน และยังคงได้รับความนิยมทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน